Pages

Saturday, September 26, 2015

เมื่อถูกเรียกว่า fucking Asian


จำได้ว่าปีแรกแห่งการสอน หลังจากที่เป็นอาจารย์สอนแบบ contract อยู่ 2 เทอม เทอมต่อมาเราก็เป็นอาจารย์มือปืนรับจ้าง หรือ casual teacher ที่เมื่อไหร่ก็ตามที่ทางโรงเรียนต้องการอาจารย์มาช่วยสอน ซึ่งก็อาจจะเนื่องด้วยมีอาจารย์ป่วย อาจารย์ลา เราก็ต้องไปสอนแทน ทางโรงเรียนจะโทรติดต่อมา ถ้าเราว่างหรืออยากไปสอนเราก็ไป ถ้าไม่อยากไปเราก็บอกปฏิเสธได้ นี่แหละข้อดีของอาจารย์มือปืนรับจ้าง หรือ casual teacher

เป็น casual teacher ไม่ได้หมายความว่า เวลาที่ทางโรงเรียนโทรมาเรียกเราไปทำงาน เราต้องรับปากไปทำงานเสมอไป ถ้าเราไม่อยากไป อาจจะเนื่องด้วยไม่ชอบโรงเรียนนั้น ไม่ชอบเด็กนักเรียนที่นั่น ไม่ชอบอาจารย์เพื่อนร่วมงานที่นั่น หรือเราติดธุระ เราก็ไม่ต้องไป เพราะโรงเรียนในระแวกนี้ก็มีอยู่หลายโรงเรียนอยู่แล้ว ปกติเรามีจะมีงานสอนอยู่แล้วแทบทุกอาทิตย์ อาจจะ 3-4 วันต่ออาทิตย์ก็ว่าไป แล้วแต่อาทิตย์ ซึ่งรายได้ของ casual teacher ก็ดีอยู่ในระดับหนึ่งอยู่แล้วเพราะเป็นอาจารย์ฉุกเฉิน ดังนั้นค่าแรงก็ต้องแพงในระดับหนึ่ง ดังนั้นอาทิตย์หนึ่งสอน 3-4 วัน รายได้ที่ได้มาก็อยู่ได้สบายๆ ไม่ต้อง worries

อาทิตย์นั้นเราได้กลับไปสอนโรงเรียนเดิม จำได้ว่าสอนเด็ก year 11 ม.5 วิชาคณิตศาสตร์ โรงเรียนนี้อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง เป็นโรงเรียนอยู่ในถิ่นที่มีปัญหา ปัญหาครอบครัวติดยา, ว่างงาน, รายได้ต่ำ และเยอะแยะอีกมากมาย เล่ากันไม่จบ

เนื่องด้วยวันนั้นเรากลับไปสอนในฐานะอาจารย์ casual teacher ไม่ได้เป็นอาจารย์ที่สอนทุกวัน เหมือน 2 เทอมที่ผ่านมา เด็กก็จะไม่ค่อยเชื่อฟังเราเท่าไหร่ เพราะรู้ว่า casual teacher ไม่ได้ให้คะแนนอะไรเค๊า ในขณะที่เรากำลังสอน ก็มีเด็กนักเรียนที่เป็นชนพื้นเมือง เผ่า Aborigin คนหนึ่งคุยโทรศัพท์มือถือกับเพื่อนเฉยเลย จำได้ว่าสอนการคำนวญคิดดอกเบี้ยเงินฝาก คิดในใจว่าถ้าเด็กนักเรียนเค๊าตั้งใจเรียนนะ ก็จะได้มีความรู้เรื่องการเงิน จะได้เอาตัวรอดในสังคมยุคสมัยนี้ มันต้องเรียนรู้เรื่องการทำงบประมาณประจำตัว หรือ budgeting และอะไรต่อมิอะไรเรื่องการเงินด้วย อย่างการคำนวญดอกเบี้ยเงินฝากเป็นต้น

เราก็เลยต้องทำหน้าที่อาจารย์สะหน่อย เดินไปบอกนักเรียนให้เลิกคุยโทรศัพท์มือถือ

he ทำหน้าตาเฉย แล้วพูดกับเพื่อนปลายสายว่า 
he: เนี๊ยะ กำลังถูกสอนโดย fucking Asian อยู่หละ (แปลให้แล้ว)

แค่นั้นแหละครับ เราก็ให้เด็กนักเรียนอีกคนไปเรียกอาจารย์หัวหน้าประจำภาคมาจัดการกับเด็ก ปกติแล้วถ้าเด็กนักเรียนพูดจาหยาบคาย โดยเฉพาะใช้คำว่า fuck ด้วยแล้วหละก็ แถวยังใช้คำว่า Asian อีกต่างหาก คือ:

1. fuck: พูดจาหยาบคายกับอาจารย์ 
2. Asian: พูดจา racist แบ่งแยกเหยียดสีผิว แบ่งแยกเชื้อชาติ จริงๆแล้วมีความผิดตามกฎหมาย

เด็กจะต้องถูกหยุดพักการเรียน โดยให้รอง ผ.อ. หรืออาจารย์ปกครองจัดการลงโทษขั้นเด็ดขาด แต่......วันนั้น...... อาจารย์หัวหน้าภาคบอกว่า "จะแค่ว่ากล่าวตักเตือนเด็ก" อาจารย์หัวหน้าภาควิชาคณิตศาสตร์ซึ่งก็รู้จักกับเราดี เพราะเราสอนอยู่ภาควิชานี้มาก่อนหน้านี้ตั้ง 2 เทอมแหนะ she บอกเราว่าถ้าส่งเรื่องต่อไปให้ ผ.อ. หรืออาจารย์ปกครองจัดการลงโทษ เค๊าก็ไม่ทำอะไรกันมากหรอก 

จริงๆแล้วคือ อาจารย์หัวหน้าภาควิชาคณิตศาสตร์ไม่ค่อยถูกขี้หน้ากันกับ ผ.อ. หรืออาจารย์ปกครองจัดการลงโทษที่โรงเรียนสะเท่าไหร่ เราสอนที่นี่มา 2 เทอม เรารู้ดีเรื่องใครเกลียดขี้หน้าใครในโรงเรียน เฮ้อ.... ที่ทำงานที่ใหนๆก็มีเรื่อง office politic น่าเบื่อมาก

สรุปวันนั้นเด็กนักเรียน Aborigin คนนั้นไม่ได้ถูกทำโทษอะไรเลย ก็โดนแค่ว่ากล่าวตักเตือนแค่นั้นเอง โถ่..... แล้วแบบนี้เด็กนักเรียนมันจะกลัวครู ให้ความเคารพครูได้ยังไง ทำความผิดก็ยังลอยนวล

วันนั้นเรารู้สึกว่า system มัน broken ยังไงบอกไม่ถูก นักเรียนทำผิดแล้วยังลอยนวล แล้วอาจารย์ casual teacher ที่ใหนเค๊าอยากจะมาสอนที่โรงเรียนนี้

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เราไม่ก็กลับไปสอนโรงเรียนนั้นอีกเลย ถึงแม้ว่าจะใกล้บ้าน ขับรถแค่ 15-20 นาทีก็เถอะ.....

อาทิตย์ต่อมาเราก็ได้ contract ไปสอนวิชาคอมพิวเตอร์ที่โรงเรียนนักเรียนชายล้วนจนถึงสิ้นปี

Sunday, September 20, 2015

การเลือกใช้คำพูดที่ต้องระมัดระวัง


การที่เราเป็นครูเป็นอาจารย์อยู่ที่ออสเตรเลีย จะพูดจะจาอะไรก็ต้องระมัดระวังในการเลือกใช้คำพูด เพราะอยู่ที่ออสเตรเลียอาจารย์ต้องให้ความเท่าเทียมกันกับเด็กนักเรียนทุกคน อาจารย์ต้องไม่วิพากวิจารณ์ความคิดและอิสระในการคิดและทางเลือกของเด็กนักเรียน ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม และคำพูดบางคำพูด ในฐานะที่เป็นอาจารย์เราก็ไม่มีสิทธิ์พูด เพราะจะเป็นการไปลดความมั่นใจหรือ self-esteem ของเด็ก แต่ขอบอกว่า เด็กนักเรียนที่ออสเตรเลียบางทีก็มั่นใจเกิน บางทีก็อิสระเกิน เกินไป เกินขอบเขต จนบางทีเราก็คิดว่าเด็กนักเรียนพวกนี้จะกลายเป็นพวก ไข่ในหิน หรือดักแด้ที่ห่อหุ้มไปด้วยรังไหม เผชิญชีวิตจริงกับโลกที่โหดร้ายไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาได้ถูกปกป้องมากจนเกินไป เนื่องด้วยระบบการเรียนการสอนของที่นี่

เอาละ ใหนเรามาดูกันสิว่า มีคำคำใหนที่เราไม่มีสิทธิ์พูดมั่ง ส่วนมากก็จะเป็นพวกคำพูด negative ที่มันติดลบ คำพูดแบบนั้นห้ามพูด ยกตัวอย่างเช่น

อ้วน: ครูหรืออาจารย์ที่นี่ไม่มีสิทธิ์ไปวิพากวิจารณ์รูปร่างลักษณะของเด็กว่าเด็กนักเรียนผอมหรืออ้วน เราจะไม่วิจารณ์รูปลักษณ์ของนักเรียน เราจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ปกครองสะมากกว่า ต่อให้เราเห็นเด็กนักเรียนแล้วอยากจะบอกเหลือเกินว่า ลักษณะการกินของเธอไม่ดีต่อสุขภาพนะ ไม่ healthy นะ เพระเด็กหลายคนยอมรับความจริงไม่ได้กัน เพราะไม่เคยถูกใครพูดจาด้วยคำพูดแบบนี้มาก่อน

โกนหนวดโกนเครา: อีกเช่นเดียวกัน อาจารย์ที่นี่ไม่มีสิทธิ์ไปวิพากวิจารณ์รูปลักษณ์ของนักเรียน ทั้งๆที่เราเองก็คิดว่า เออ ถ้าหนวดเครารุงรังขนาดนี้จะไปสมัครงานที่ใหนก็คงไม่มีใครเค๊าเอา นอกจากหนวดเครารุงรังแล้ว เด็กนักเรียนชายบางคนโดยเฉพาะเด็กพวก senior ที่เรียน ม.5 ม.6 เพราะเริ่มโตเป็นหนุ่มแล้ว บางคนก็อยากทำตัวเซอๆเป็นศิลปิน ไว้ผมเผ้ายาวรุงรัง ไม่หวีผม ไม่รวบผม คือครูเห็นแล้วครูจะเป็นลม

โง่: โอ้ คำๆนี้ขอบอกได้เลยว่า เราอยากจะพูดมากเลย เพราะเด็กบางคนที่อยู่ที่ bottom class (ถึงแม้ว่าปีนี้เราไม่ได้สอนห้อง bottom class แล้ว) คือแบบว่าโง่มาก โง่แล้วยังอวดฉลาดอีก มีเยอะแยะ 

นักเรียนที่เรียนไม่เก่งแล้วเจียมเนื้อเจียมตัว พยายามขวักไขว่ที่จะเรียน นักเรียนประเภทนี้น่ายกย่อง ครูอาจารย์อยากช่วยเหลือ อยากจะสอน แต่พวกที่เรียนไม่เก่ง แล้วยังอวดฉลาดเนี๊ยะสิ เราเรียกว่า "โง่" แต่เราก็ใช้คำประเภทนี้ไม่ได้ เพราะจะทำให้ self-esteem ของเด็กต่ำ บางทีเราก็คิดในใจว่า เออ จะให้ self-esteem ของมันต่ำ ก็ให้มันต่ำไปสิ จะอะไรกันนักกันหนา โง่ก็น่าจะเรียกว่าโง่สิ เด็กนักเรียนจะได้รู้ตัวหรือพ่อแม่จะได้รู้ว่าลูกตัวเองหนะ โง่ และไม่เอาถ่านขนาดใหน จะมามัวเอาตัวเป็นไข่ในหินอยู่แบบนี้ สุดท้ายก็กลายเป็นพวก พ่อแม่รังแกฉัน ถึงตอนนั้นก็อาจจะสายเกินไปแล้ว

เกย์ เลสเบี้ยน: ที่เมืองไทย อาจารย์ยังสามารถพูดล้อเล่นขำๆกับเด็กนักเรียนได้ว่า นักเรียนชายเป็นสาว หรือนักเรียนหญิงเสียงหล่อ อะไรประมาณนี้ แต่ถ้าเป็นที่ออสเตรเลียนะ ถ้าอาจารย์พูดอะไรแบบนี้ รับรองได้เลย ได้ออกจากการเป็นอาจารย์แน่ เพราะที่ออสเตรเลีย นั้นถือว่าเป็นการเลือกที่จะเป็นของเด็กนักเรียน ซึ่งที่เมืองไทยเราก็ให้สิทธิ์ในการเลือกที่จะเป็นอยู่แล้ว เช่นเดียวกัน แต่ที่เมืองไทยเรายังสามารถพูดจาแซวกันได้ ไม่ค่อยซีเรียสอะไรกัน ถือว่าเป็นเรื่องขำๆ แต่ที่ออสเตรเลีย อาจารย์จะไม่มีสิทธิ์แซวเด็กนักเรียนในเรื่องแบบนี้เป็นอันขาด ถ้าแซวเรื่องแบบนี้นะ นอกจากอาจต้องโดนไล่ออกจากราชการแล้ว อาจจะต้องดังเป็นข่าวหน้าหนึ่งแน่นอน เพราะที่ออสเตรเลียถือว่าเป็นความผิดอะไรที่ร้ายแรงมาก ที่ไปตราหน้าหรือแซวเด็กนักเรียนในเรื่องของการเลือกที่จะเป็น เกย์ หรือ เลสเบี้ยน ที่ออสเตรเลียเราจะเปิดกว้างให้สิทธิ์เท่าเทียมกันกับ sextuallity มาก นอกจากห้ามแซวแล้ว อาจารย์ยังต้องที่จะ support และดูแลเด็กนักเรียนให้เป็นอย่างดีอีกต่างหาก คือถ้าชอบแบบใหน อยากเป็นอะไร เราก็ต้องสนับสนุน อะไรประมาณนั้น

คำพูดเหล่านี้คนที่เป็นอาจารย์ที่ออสเตรเลียต้องระมัดระวัง ต้องไม่พูด อย่างคำว่า โง่ หรือ stupid เนี๊ยะ เราก็ต้องเลือกใช้คำว่า low ability แทน ซึ่งก็แปลว่า ความสามารถน้อย หรือไม่เก่ง นั่นเอง สรุปคือ ไม่เก่งนะ ไม่ใช่โง่

และก็เรื่องการวิพากวิจารณ์การแต่งตัวบางอย่างเนี๊ยะยิ่งหมดสิทธิ์เลย ใครจะเจาะหู เจาะจมูก เจาะคิ้ว หรือเจาะริมฝีปากอะไรยังไง ครูหรือาจารย์ก็ไม่มีสิทธิ์ไปวิพากวิจารณ์สิทธิของเด็กนักเรียนเป็นอันขาด

นี่ก็เป็นแค่ส่วนปลีกย่อยนะครับ ถ้าจะให้ list ออกมาเป็นรายการ บอกได้เลยว่า วันเดียวคงไม่หมด

จะเห็นได้ว่ากฎเกณฑ์อะไรต่างๆที่ออสเตรเลียจะมีเยอะแยะมากมายไปหมดที่อาจารย์จะต้องรู้ ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องสิทธิอะไรต่างๆของเด็กนักเรียน ก็ลองนำไปเปรียบเทียบกับโรงเรียนที่เมืองไทยกันดูนะครับ ว่ามีความเหมือนหรือความแตกต่างกันมากน้อยแค่ใหน

Friday, September 18, 2015

เด็กนักเรียนที่ขาดความเคารพ


โรงเรียนที่ออสเตรเลีย เด็กนักเรียนจะต้องเรียกอาจารย์หรือครูว่า Mr, Miss หรือ Mrs แล้วตามด้วยนามสกุล อย่างเราเด็กนักเรียนก็จะเรียกว่า Mr.Paopeng แต่ถ้าเด็กนักเรียนไม่อยากเรียกชื่อตามนามสกุล เด็กนักเรียนก็สามารถเรียกอาจารย์ได้สั้นๆได้ว่า Sir ถ้าเป็นอาจารย์ผู้หญิง เด็กนักเรียนก็จะเรียกว่า Miss (เด็กจะไม่เรียกว่า Mrs กัน เพราะถ้าเป็น Mrs ก็จะต้องเรียกตามนามสกุล) อาจารย์ผู้หญิงไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่งงานเด็กนักเรียนก็จะเรียกว่า Miss

แต่ก็มีเด็กหลายๆคนชอบเล่นหัวกับอาจารย์ เรียกเฉพาะนามสกุล ว่า "Paopeng" ไม่มีคำว่า Mr. นำหน้า ซึ่งก็เป็นการบ่งบอกถึงการขาดความเคารพ

เมื่อวานตอนเช้า เราเดินจะไปห้องเพื่อทำการเช็คชื่อเด็กนักเรียนตอนเช้า มีเด็กนักเรียนหญิง ม.1 ซึ่งอยู่ในห้องเราเรียกเราว่า "Paopeng" เฉยๆ โดยไม่มีคำว่า Mr นำหน้า

นักเรียนหญิง ม.1: Good morning Paopeng (สวัสดี เผ่าเพ็ง)
เราหยุดและหันไปจ้องเด็ก ตีสีหน้าเข้มแล้วพูดว่า
Mr.Paopeng: Mr......Paopeng (เน้นเสียงตรงคำว่า Mr แล้วก็ลากเสียงยาวๆ)
เด็กรีบขอโทษ
นักเรียนหญิง ม.1: Sorry Mr.Paopeng. Good morning Mr.Paopeng.
เสร็จแล้วเราก็เดินออกไป แต่ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลังว่า
นักเรียนหญิง ม.1 อีกคน: Bye Paopeng.
เราหยุดกึ๊ก แล้วหันไปมอง อ๊า....เพื่อนของเด็กนักเรียนหญิงที่เดินมาด้วยกันนี่เอง เราก็ไม่รู้จักชื่อเสียด้วยสิ ก็เลยตวาดไปว่า
Mr.Paopeng: You ไปรออยู่ที่ห้องฉันเลยไป

เด็กนักเรียนเริ่มรู้ตัวแล้วว่าทำอะไรผิดไป เดินตัวลีบเข้ามาที่ห้องเรา เด็กๆในห้องเราก็ถามเด็กนักเรียนคนนั้นว่า เธอมาทำอะไรในห้องนี้ แต่เธอก็ฉวยโอกาสเดินออกไปจากห้องเราตอนที่เรายุ่งๆ ตอนที่เราเผลอเดินออกไปเอา laptop เพื่อที่จะมาเช็คชื่อ

พอเราเช็คชื่อเด็กห้องเราเสร็จ เราก็ถามเด็กนักเรียนที่อยู่ในห้องเรา ว่าเด็กนักเรียนคนเมื่อกี้ชื่ออะไร เสร็จแล้วเราก็เช็คในระบบคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนว่าอยู่ห้องใหน ต้องยอมรับว่าระบบคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนที่ออสเตรเลียนั้นมันดีจริงๆ

พอเราทราบห้องเด็ก เราก็เดินไปตามหาเด็กเลย ขออนุญาตครูประจำห้องนั้น เด็กนักเรียนคนนั้นเห็นเรา เค๊าก็ไปยืนแอบอยู่หลังเพื่อน และก็ทำตัวลีบๆ แต่เราก็มองเห็น แล้วเราบอกเค๊าให้ลงไปที่ห้องเราข้างล่าง เด็กเริ่มรู้แล้วว่า "ต้องโดนแน่" หน้าเริ่มเสีย น้ำตาเริ่มคลอเบ้า ยิ่งเด็กหน้าเสีย เราก็ต้องยิ่งหน้าเข้มเข้าไว้ เราไม่โกรธนะ แค่ต้องการสั่งสอนเฉยๆ ก็แค่นั้นเอง

เราก็เข้าไปทำธุระอะไรของเราในห้องต่อ บอกให้เด็กนักเรียนยืนรออยู่ข้างนอก ปกติเราจะให้เด็กยืนอยู่นอกห้อง ปล่อยเวลาให้เค๊าคิด ว่าได้ทำผิดอะไรลงไปมั่ง เสร็จแล้วเราก็ออกมาสอบถามเด็ก อ้าว ปรากฏว่าเป็นเด็กอยู่ห้อง 2nd top class หรือถ้าเป็นที่เมืองไทยก็เป็นห้องเด็กเก่งอันดับที่ 2

Mr.Paopeng: (ทำเสียงเข้ม) นี่เธอ เป็นเด็กอยู่ห้อง 2nd top แล้วทำไมทำตัวแย่แบบนี้ ฉันพึ่งบอกเพื่อนเธอไปเองนะ ว่าเวลาเรียกครูต้องเรียกว่า Mr.Paopeng ไม่ใช่เรียกว่า Paopeng เฉยๆ
นักเรียนหญิง ม.1 อีกคน: (หน้าเจื่อนๆ น้ำตาคลอเบ้า) Yes sir. Sorry sir.
Mr.Paopeng: ฉันมาเป็นครูสอนนะ ไม่ใช่เป็นเพื่อนเล่นเธอ ได้ยินมั๊ย..... I'm here to teach, not to be your friend. Do you hear me? (พูดช้าๆ เน้นไปทีละคำ ออกสีหน้าด้วย)
นักเรียนหญิง ม.1 อีกคน: (หน้าเจื่อนๆ น้ำตาคลอเบ้า) Yes sir. Sorry sir.
Mr.Paopeng: กลับไปที่ห้องเธอได้ละ
นักเรียนหญิง ม.1 อีกคน: Yes sir (น้ำตาคลอเบ้า รีบวิ่งก้มหน้ากลับไปที่ห้องอย่างรวดเร็ว)

เป็นไงละ มาเล่นหัวกับครูอย่างเรา ไม่ได้ครับไม่ได้ ถ้าเรียกชื่อเฉยๆไม่มีคำว่า Mr หรือ Miss/Mrs นำหน้าเนี๊ยะ มันก็เหมือนเป็นการเล่นหัว เป็นการเรียกแบบเพื่อนกันมากกว่า ซึ่งมันก็เป็นการขาดความเคารพ ระหว่างนักเรียนกับครู

แต่อย่างว่าแหละ เด็ก ม.1 พึ่งจะมาใหม่ ยังไม่ค่อยรู้จักเรา พวกอยากจะลองของ ก็เลยได้เจอของดีเลยเมื่อวาน

Mess with the best, die like the rest.....นะจ๊ะ

Thursday, September 10, 2015

จะแต่งหน้าไปให้ใครดู


เด็กนักเรียนที่เรียนโรงเรียนรัฐบาล นอกจากการที่ต้องใส่เครื่องแบบของแต่ละโรงเรียนแล้ว ก็จะไม่มีกฏอะไรมากมายในเรื่องของการแต่งกาย แต่งตัว แต่งหน้า และการใส่เครื่องประดับ ดังนั้นเรื่องการแต่งกายและใส่เครื่องประดับอะไรแปลกๆ จะเห็นกันอยู่เกลื่อนกลาดตามโรงเรียนรัฐบาลทั่วๆไป

โดยเฉพาะเด็กนักเรียนผู้หญิง พอขึ้น year 8 หรือ ม.2 เด็กๆก็เริ่มแต่งหน้ากันแล้ว เด็กนักเรียนหลายๆคนแต่งหน้าแต่พองาม แต่งบางๆ มันก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไรมาก เพราะยังไงเสียโรงเรียนก็ยังเป็นสถานที่การศึกษา ไม่ใช่สถานที่ที่ต้องมาแต่งหน้าแข่งขันกัน เหมือนเดินแฟชั่นโชว์ อะไรประมาณนี้ ดูๆแล้วมันผิดสถานที่อะไรยังไงไม่รู้ บอกไม่ถูก

เด็กนักเรียนหญิงหลายๆคน พอขึ้น ม.2 ก็เริ่มออกอาการ ส่อแววอะไรหลายๆอย่าง เด็กนักเรียน ม.2 หลายๆคน ตอนอยู่ ม.1 ก็ยังเป็นเด็กใสๆ หน้าตาบ๊องแบ๊วไร้เดียงสา แต่อยู่ต่อมาขึ้น ม.2 เริ่มแต่งหน้าแต่งตาสะละ บางคนก็แต่งสะเข้มจนหน้าเปลี่ยนไปเลย ขอบตา ขอบคิ้วเนี๊ยะดำปึ๊ดเลย ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เด็กๆนักเรียนพวกนี้เค๊าจะแต่งหน้าไปให้ใครดูอะไรกันมากมาย วันๆก็อยู่แต่ในห้องเรียน จะมีสักกี่คนที่เห็นเค๊ากันเชียว ไม่ได้ออกไปทำงาน เจอะเจอคนเยอะแยะมากมายอะไรสะหน่อย

โดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่เริ่มจาก ม.2 ขึ้นไปนี่แหละ เริ่มออกอาการอยากจะโตเป็นสาวกันสะละ ซึ่งจริงๆแล้วเราก็คิดว่ามันยังไม่ถึงวัยอันควรเท่าไหร่ จะแต่งหน้าไปให้ใครดูก็ยังไม่รู้เลย เพราะจริงๆแล้วโรงเรียนมัธยมอยู่ที่ออสเตรเลีย ถ้าขนาดกลางๆก็ประมาณ 700 คน ซึ่งไม่ได้เยอะแยะอะไรมากมายเลย ถ้าเปรียบเทียบกับโรงเรียนที่เมืองไทย

และเด็ก ม.2 ก็ยังถือว่าเด็กเกิน ถ้าเด็กพวก senior class อย่าง ม.5 หรือ ม.6 เนี๊ยะ ยังพอรับได้อยู่ในระดับหนึ่ง แต่ยังไงเสียเด็กนักเรียนมัธยมก็ยังถือว่าเป็นเด็กอยู่ ถ้าโตแล้วเข้ามหาวิทยาลัย นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

จะสังเกตุได้ว่า พอเด็กนักเรียนเริ่มแต่งหน้า นิสัยและพฤติกรรมอะไรหลายๆอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป ซึ่งก็จะเห็นได้ชัดมาก จะแตกต่างจากเด็กนักเรียนทั่วๆไปที่ไม่แต่งหน้า หรือนักเรียนที่แต่งหน้าแค่บางๆ เด็กนักเรียนพวกนี้จะเป็นเด็กเรียบๆธรรมดา ไม่หวือหวา ทำตัวเป็นเด็กนักเรียนทั่วๆไป คือ "มาเรียนหนังสือ" ไม่ได้ตั้งใจมาทำอะไรอย่างอื่น

และก็เนื่องด้วยสังคมและวัฒรธรรมฝรั่งด้วย สังคมฝรั่งจะให้อิสระแก่เด็กในการคิดและการกระทำ ดังนั้นเรื่องของการแต่งหน้ามาโรงเรียนก็เหมือนกัน ทางโรงเรียนก็ถือว่าให้อิสระแก่เด็กนักเรียน เพราะถือว่าไม่ได้ทำอะไรเสียหาย แต่เราเป็นครูคนเอเชีย บอกตามตรงเลยว่า บางทีทางโรงเรียนก็ให้อิสระกับนักเรียนมากจนเกินไป บางทีมันก็เกินขอบเขตของการเป็นนักเรียนไปนิดหนึ่ง เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า พ่อแม่เค๊าไม่ได้บอก ไม่สอนลูกในเรื่องของการแต่งกายหรือเปล่าไม่ทราบ เพราะอย่างที่บอกแหละ ก็ไม่รู้ว่าเด็กนักเรียนจะแต่งหน้าไปให้ใครดู หรือว่าเด็กๆนักเรียนกำลังค้นหาตัวเองหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่บอกตามตรงว่า ทุกอย่างน่าจะอยู่ในความพอดี เพราะเด็กนักเรียนบางคนบอกได้เลยว่า แต่งหน้าได้ "เกินขอบเขต" ของการเป็นนักเรียน..... มากเกินไป


Sunday, September 6, 2015

kiss kiss จูจุ๊บ


เป็นธรรมดาตามธรรมเนียมของฝรั่งอยู่แล้ว ที่เวลาเจอกันหรือแยกย้ายกันกลับบ้าน ถ้าเป็นเพื่อนผู้ชายเราอาจจะกอดหรือจับมือ shake hands กันตามธรรมดา แต่ถ้าเป็นเพื่อนผู้หญิงเราจะ kiss กันตรงแก้ม ซึ่งที่ออสเตรเลียก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เราทำกันจนชิน ไม่มีเขินอาย

ที่โรงเรียนก็เหมือนกัน เด็กๆนักเรียน เพื่อนๆที่สนิทกัน ไม่ว่าเพศเดียวกันหรือต่างเพศ เรื่องกอดกันแบบ "เพื่อนๆ" หรือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะบางทีเพื่อนก็กอดกันให้กำลังใจกัน หรือทักทายกันตามมารยาทและวัฒนธรรมของฝรั่ง ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร

แต่เด็กๆนักเรียนที่เป็นแฟนกันนี่สิ ลักษณะการกอดการเคล้าเคลียกันจะแตกต่างไปจากความเป็นเพื่อนทั่วๆไป โดยเฉพาะช่วงพัก break และช่วงพักเที่ยง เราเป็นครูเป็นอาจารย์หูตาก็ต้องว่องไว เพราะถ้าเห็นเด็กคู่ใหนที่เคล้าเคลียกันเกินความเป็นเพื่อนเราก็ต้องเดินไปแยกเด็กออก ปกติเราก็จะบอกให้เด็กห่างกันประมาณ 30 ซ.ม. ซึ่งฟังดูมันก็ขำๆดีนะ แต่ปกติแล้วเด็กนักเรียนจะรู้ว่าเค๊าจะกอดกันเคล้าเคลียกันเกินความเป็นเพื่อนไม่ได้อยู่แล้ว เราก็คอยบอกเด็กๆนักเรียนเสมอว่าถ้าตราบใดที่ยังอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนก็จะเคล้าเคลียนัวเนียกันไม่ได้ แต่ถ้าอยู่ข้างนอกโรงเรียนและไม่อยู่ในเครื่องแบบนักเรียน อยากจะทำอะไรก็ทำได้เลย เพราะสังคมที่นี่อิสระกันอยู่แล้ว เรื่องกอดๆจูบๆเหรอ เรื่องปกติมากเลย แต่ถ้าทำอะไรกันอยู่ในโรงเรียน อยู่ในเครื่องแบบมันก็น่าเกลียด ครูอาจารย์ก็ต้องคอยสอดส่องดูแล

เด็กๆนักเรียนจะรู้กันอยู่แล้วว่า การจูบแก้มกันถือเป็นเรื่องปกติของวัฒนธรรมและธรรมเนียมฝรั่ง แต่จูบกันแบบคู่รัก แบบ lip to lip ไม่ได้ 

แต่ก็อย่างว่าแหละ เด็กๆนักเรียนที่เป็นแฟนกัน ก็มีแอบทำกันบ้าง เราเป็นครู ถ้าเราเห็นเราก็คอยห้ามปลามกันอยู่ตลอด แต่เด็กๆก็จะประมาณว่าตื่นเต้นได้แอบฝ่าฝืนกฏอะไรประมาณนี้ เพราะเด็กๆนักเรียนมัธยมอยู่ในช่วงที่อยากรู้อยากเห็น เด็กๆนักเรียนอยากลองนั่นลองนี่ไปหมด และการคบกันกับใครสักคนเป็นแฟนก็ถือว่าเป็นการ experiment อะไรอีกอย่างเช่นเดียวกัน

ช่วงนี้เราก็เห็นเด็กๆนักเรียนเริ่มโตเป็นหนุ่มสาวกัน นักเรียนบางคนเราก็เห็นตั้งแต่เป็นเด็กๆตัวกระจิ๋วตอน ม.2 ตอนนี้อยู่ ม.4 อ้าว มีความรักกันสะละ เราคงแก่แล้วสินะถ้างั้นก็...

ช่วงนี้เป็นอะไรไม่รู้ อาจจะเป็นฤดูใบไม้ผลิหรือเปล่าเนี๊ยะ ฤดูดอกไม้บาน เด็กๆมีความรักกันไปหมด ครูเผลอเมื่อไหร่นะก็พากัน kiss kiss จูจุ๊บ กันไปหมด คือเด็กๆนักเรียนจะชอบ"ลักไก่"กันว่างั้นเถอะ ทำกันตอนครูเผลอ มันคงจะตื่นเต้นหละนะ

อะ... ไม่ว่ากัน เอาแค่พอดีพองาม อย่าให้มากเลยเถิด

ที่โรงเรียนก็จะมีเด็กๆนักเรียนอยู่หลายคู่ที่พยายามลักไก่แบบนี้ แต่เด็กๆนักเรียนจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเค๊าไม่ควรทำอะไรแบบนี้ kiss kiss จูจุ๊บ กันที่โรงเรียน ส่วนมากเวลาเราบอกเด็กๆนักเรียน เด็กๆนักเรียนก็จะชอบว่า "อาจารย์ค่ะ อย่าพูดต่อหน้าเพื่อนๆหนูสิ เดี๋ยวเพื่อนๆล้อแน่เลย" ไอ้เราก็ขำกลิ้ง นึกในใจว่าอะไรของพวกเธอเนี๊ยะ kiss kiss จูจุ๊บ ต่อหน้าเพื่อนๆหนะไม่อายหลอกนะ แต่พอครูเข้าไปบอก ทำเป็นอาย กลัวเพื่อนล้อ มีแปบนี้ด้วย

จะยังไงเสียเราก็คิดว่าครูที่เมืองไทยคงได้เจออะไรแบบนี้น้อย แบบ kiss kiss จูจุ๊บ กัน อะไรปรมาณนี้ เพราะคิดว่าจะยังไงเสียเด็กนักเรียนไทยที่เมืองไทย ถ้าคิดจะ kiss kiss จูจุ๊บ กันจริงๆก็คงจะแอบทำ หรือทำกันนอกโรงเรียน ไม่ได้ใจกล้าแบบเด็กนักเรียนฝรั่งที่นี่...

ในความรู้สึกส่วนตัวแล้วการที่เด็กๆนักเรียน kiss kiss จูจุ๊บ กันแบบ lip to lip ก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไร เพราะไม่ได้เป็นการจูบกันแบบ ลิ้นแลกลิ้น จูบกันแบบดูดดื่ม ถ้าจูบแบบนั้นมันแบบว่าจูบเพื่อที่จะมีอะไรกันแล้วหละ แบบนั้นหนะ รับไม่ได้แน่นอน เท่าที่ผ่านมาก็ยังไม่มีเหตุการณ์แบบนี้ และก็ขอให้เป็นแบบนั้นตลอดไปนะครับ

Note: รูปภาพทุกรูปที่ใช้ใน blog นี้ เป็น free images ไม่มี copyright นะครับ จาก Freeimages.com