ที่ออสเตรเลียมีกฎหมายว่าด้วยเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเพศ ถ้าคนที่จะเปลี่ยนเพศ ผ่าตัดเปลี่ยนแปลงนั่น นี่ โน่น กี่เปอร์เซ็นต์ก็ว่าไป เค๊าก็จะสามารถเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อตัวเองได้ อาจจะเปลี่ยนจาก "นาย" เป็น "นางสาว" หรือจาก "นางสาว" เป็น "นาย" ก็แล้วแต่ ที่ออสเตรเลียเรามีกฎหมายรองรับในเรื่องของแบบนี้ ในขณะเดียวกัน ในฐานะที่เราเป็นอาจารย์ ถ้าเด็กนักเรียนที่โรงเรียนเรามีการเปลี่ยนแปลงเพศกันขึ้นมา เราเป็นอาจารย์เราก็ต้องมีการตั้งรับกับสถานการณ์ต่างๆ เพราะนี่คือโรงเรียนมัธยม ไม่ใช่มหาวิทยาลัย
โรงเรียนมัธยม เรายังคงต้องดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ไม่เหมือนมหาวิทยาลัย ที่เรียนแบบตัวใครตัวมัน
โรงเรียนมัธยม เด็กๆนักเรียนยังถือว่าเด็กอยู่นัก อายุเริ่มจาก 12 - 18 ปี ดังนั้นถ้าเรื่องการเปลี่ยนแปลงเพศของเด็กนักเรียนไม่ได้รับการวางแผนว่าพวกเราอาจารย์จะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร เหตุการณ์อะไรต่างๆที่แย่ๆก็อาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะเด็กๆอาจมีการล้อเลียนกัน พูดจาอะไรเสียดสีเพื่อทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายหนึ่งก็อาจจะเป็นได้
โรงเรียนที่ออสเตรเลียเราจะสนับสนุนเด็กนักเรียนในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าเด็กนักเรียนต้องการทำอะไร อยากเป็นอะไร ขอให้พ่อแม่ที่บ้านเค๊าเห็นด้วย หน้าที่เราของคนที่เป็นอาจารย์ก็คือ เราต้องสนับสนุนและคอยดูแลอย่างใกล้ชิดว่าจะไม่เกิดการล้อเลียนอะไรกันขึ้นภายในโรงเรียน เพราะเด็กนักเรียนฝรั่ง อะไรนิดอะไรหน่อย ก็จะทำร้ายตัวเอง กรีดแขนตัวเอง นั่น นี่ โน่น สารพัดอย่างที่ครูและอาจารย์ต้องเจอ
ที่โรงเรียนเราก็มีเด็กนักเรียนผู้ชาย ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ในระหว่างการกินโฮโมนต์เพื่อเปลี่ยนเพศเป็นผู้หญิง นักเรียนได้รับการสนับสนุน ความยินยอมและเห็นด้วยจากผู้ที่เป็นแม่ แต่คนที่พ่อก็รับไม่ค่อยได้เท่าไหร่นัก ในฝ่ายของโรงเรียนเอง เราก็มานั่งคิดพิจารณาว่าสรุปแล้วเด็กนักเรียนคนนี้ต้องเริ่มแต่งเครื่องแบบแบบใหนมาโรงเรียน เราจะอะลุ่มอล่วยกับเค๊าได้มากน้อยแค่ใหน
ทุกอย่างที่โรงเรียนดำเนินไปได้ด้วยดี เนื่องด้วยนักเรียนคนนี้อยู่ชั้น senior year แล้ว; ม.5-ม.6 เด็กนักเรียน ม.5-ม.6 เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว การล้อกันอะไรจะไม่ค่อยมีเหมือนเด็กนักเรียนที่อยู่ junior year ม.1-ม.4 สักเท่าไหร่นัก ปัญหาอะไรก็เลยไม่ค่อยมี ดูๆแล้ว เพื่อนๆร่วม year ของเค๊าก็คอยดูแลเด็กนักเรียนคนนี้เป็นอย่างดี เหมือนเป็นกำลังใจให้กัน อะไรประมาณนี้
เราก็ไม่รู้ว่า อนาคตเด็กนักเรียนคนนี้จะเป็นอย่างไร เมื่อเค๊าจบ ม.6 ออกไปเผชิญโลกกว้าง เพราะโลกข้างนอก โลกของความเป็นจริง เค๊าอาจจะไม่ได้รับการ support เหมือนที่โรงเรียนก็เป็นได้ เพราะที่โรงเรียนเค๊ายังเป็นเด็กนักเรียน มีอาจารย์และเจ้าหน้าที่เยอะแยะที่คอย support เค๊า แต่ถ้าจบออกไปแล้ว มันก็เหมือนตัวใครตัวมันแล้วหละ เค๊าต้องเผอิญโลกภายนอกด้วยตัวของเค๊าเอง
เราก็ไม่แน่ใจว่าที่เมืองไทยมีระบบหรือระเบียบอะไรเพื่อรองรับเด็กนักเรียนแปลงเพศแบบนี้มั๊ย เพราะสมัยที่เราเรียนอยู่ที่เมืองไทยมันก็นานมามากแล้ว แต่ที่รู้ๆก็คือ กฎหมายอะไรต่างๆที่เมืองไทย ยังแตกต่างจากประเทศในแถบตะวันตกเยอะ
ในฐานะของคนที่เป็นอาจารย์เราก็แค่ทำหน้าที่ของเรา คือสนับสนุนเด็กนักเรียน ไม่ว่าเค๊าอยากจะทำอะไร อยากเป็นอะไร ขอให้สิ่งที่เค๊าอยากเป็นหรือสิ่งที่เค๊าอยากทำไม่ได้ก่อปัญหาหรือเป็นภาระของใคร เราคนเป็นอาจารย์ก็ต้องสนับสนุน
โรงเรียนมัธยม เรายังคงต้องดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ไม่เหมือนมหาวิทยาลัย ที่เรียนแบบตัวใครตัวมัน
โรงเรียนมัธยม เด็กๆนักเรียนยังถือว่าเด็กอยู่นัก อายุเริ่มจาก 12 - 18 ปี ดังนั้นถ้าเรื่องการเปลี่ยนแปลงเพศของเด็กนักเรียนไม่ได้รับการวางแผนว่าพวกเราอาจารย์จะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร เหตุการณ์อะไรต่างๆที่แย่ๆก็อาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะเด็กๆอาจมีการล้อเลียนกัน พูดจาอะไรเสียดสีเพื่อทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายหนึ่งก็อาจจะเป็นได้
โรงเรียนที่ออสเตรเลียเราจะสนับสนุนเด็กนักเรียนในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าเด็กนักเรียนต้องการทำอะไร อยากเป็นอะไร ขอให้พ่อแม่ที่บ้านเค๊าเห็นด้วย หน้าที่เราของคนที่เป็นอาจารย์ก็คือ เราต้องสนับสนุนและคอยดูแลอย่างใกล้ชิดว่าจะไม่เกิดการล้อเลียนอะไรกันขึ้นภายในโรงเรียน เพราะเด็กนักเรียนฝรั่ง อะไรนิดอะไรหน่อย ก็จะทำร้ายตัวเอง กรีดแขนตัวเอง นั่น นี่ โน่น สารพัดอย่างที่ครูและอาจารย์ต้องเจอ
ที่โรงเรียนเราก็มีเด็กนักเรียนผู้ชาย ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ในระหว่างการกินโฮโมนต์เพื่อเปลี่ยนเพศเป็นผู้หญิง นักเรียนได้รับการสนับสนุน ความยินยอมและเห็นด้วยจากผู้ที่เป็นแม่ แต่คนที่พ่อก็รับไม่ค่อยได้เท่าไหร่นัก ในฝ่ายของโรงเรียนเอง เราก็มานั่งคิดพิจารณาว่าสรุปแล้วเด็กนักเรียนคนนี้ต้องเริ่มแต่งเครื่องแบบแบบใหนมาโรงเรียน เราจะอะลุ่มอล่วยกับเค๊าได้มากน้อยแค่ใหน
ทุกอย่างที่โรงเรียนดำเนินไปได้ด้วยดี เนื่องด้วยนักเรียนคนนี้อยู่ชั้น senior year แล้ว; ม.5-ม.6 เด็กนักเรียน ม.5-ม.6 เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว การล้อกันอะไรจะไม่ค่อยมีเหมือนเด็กนักเรียนที่อยู่ junior year ม.1-ม.4 สักเท่าไหร่นัก ปัญหาอะไรก็เลยไม่ค่อยมี ดูๆแล้ว เพื่อนๆร่วม year ของเค๊าก็คอยดูแลเด็กนักเรียนคนนี้เป็นอย่างดี เหมือนเป็นกำลังใจให้กัน อะไรประมาณนี้
เราก็ไม่รู้ว่า อนาคตเด็กนักเรียนคนนี้จะเป็นอย่างไร เมื่อเค๊าจบ ม.6 ออกไปเผชิญโลกกว้าง เพราะโลกข้างนอก โลกของความเป็นจริง เค๊าอาจจะไม่ได้รับการ support เหมือนที่โรงเรียนก็เป็นได้ เพราะที่โรงเรียนเค๊ายังเป็นเด็กนักเรียน มีอาจารย์และเจ้าหน้าที่เยอะแยะที่คอย support เค๊า แต่ถ้าจบออกไปแล้ว มันก็เหมือนตัวใครตัวมันแล้วหละ เค๊าต้องเผอิญโลกภายนอกด้วยตัวของเค๊าเอง
เราก็ไม่แน่ใจว่าที่เมืองไทยมีระบบหรือระเบียบอะไรเพื่อรองรับเด็กนักเรียนแปลงเพศแบบนี้มั๊ย เพราะสมัยที่เราเรียนอยู่ที่เมืองไทยมันก็นานมามากแล้ว แต่ที่รู้ๆก็คือ กฎหมายอะไรต่างๆที่เมืองไทย ยังแตกต่างจากประเทศในแถบตะวันตกเยอะ
ในฐานะของคนที่เป็นอาจารย์เราก็แค่ทำหน้าที่ของเรา คือสนับสนุนเด็กนักเรียน ไม่ว่าเค๊าอยากจะทำอะไร อยากเป็นอะไร ขอให้สิ่งที่เค๊าอยากเป็นหรือสิ่งที่เค๊าอยากทำไม่ได้ก่อปัญหาหรือเป็นภาระของใคร เราคนเป็นอาจารย์ก็ต้องสนับสนุน
No comments:
Post a Comment